วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์กับ "คำถาม"

จากที่ผมได้เคยกล่าวถึงหัวข้อเกี่ยวกับ "คนไทย กับการเป็นคนช่างซักถามด้วยความสนใจใฝ่รู้" ผมขอเพิ่มตัวอย่างสนับสนุนคำกล่าวของผม ดังนี้

ตัวอย่างแรก ผมได้มาจาก Workshop หนึ่งที่สถาบันที่ผมทำงานอยู่ มีใจความว่า ในศตวรรษที่ 16 ผู้คนที่เดินทางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน และเห็นดาวอยู่กันเป็นรูปแบบที่ตายตัว และเคลื่อนที่ตามเส้นทางประจำอย่างสม่ำเสมอบนท้องฟ้า คนส่วนใหญ่ต่างก็สงสัยและถามคำถามว่า “ทำไมดวงดาวที่อยู่ในรูปแบบเหล่านั้นไม่ไปไหน” ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไร และไม่ได้นำไปสู่การเข้าใจหรือการสืบเสาะหาความรู้เพิ่มเติม แต่ว่า มีชายอีกคนหนึ่ง ได้มองบนท้องฟ้าเดียวกัน ได้ถามคำถามว่า ทำไม ดาวเคลื่อนที่ในลักษณะนั้น ซึ่งเป็นคำถามที่เขาได้ครุ่นคิดและพยายามหาคำตอบ จนนำไปสู่ รูปแบบแรกของจักรวาล (First models of the universe)” และความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับฟิสิกส์ของระบบเคลื่อนที่ (Physics of moving systems) ชายคนนั้นคือ Sir Isaac Newton นั่นเอง

อีกตัวอย่างหนึ่ง ในหนังสือ The Pleasure of Finding Things Out ของ Richard P. Feynman นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียง สัญชาติอเมริกัน เขาได้เล่าเกี่ยวกับอิทธิพลของพ่อของเขาในการมีส่วนทำให้เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดี ในสมัยที่เขายังเด็ก พ่อของเขา ชอบพาเขาไปเดินเล่นชมธรรมชาติในป่าใกล้ๆ หมู่บ้านของเขา และจะชอบอธิบายถึงสิ่งต่างๆ ที่พบเห็นในป่าให้เขาฟัง การเดินป่าเล่นของ Feynman กับพ่อเขา ทำให้เป็นที่สังเกตของคนในหมู่บ้าน ทำให้เกิดการเอาอย่าง เพราะแม่บ้านในในหมู่บ้านเห็นว่าเป็นเรื่องดี และ วันหนึ่ง เมื่อ Feynman ไปโรงเรียน เพื่อนของ Feynman ที่อยู่ในบริเวณหมู่บ้านเดียวกัน ได้ถามเขาว่า “รู้ไหมว่า นกสีน้ำตาลที่เห็นในป่านั้นชื่อนกอะไร” Feynman ตอบว่า “เขาไม่รู้” เพื่อนของ Feynman จึงบอกว่า “พ่อของนาย ไม่ได้สอนอะไรนายเลย เวลาไปเดินป่า” แต่ Feynman รู้ว่า เขาได้เรียนรู้จากพ่อมากมายเกี่ยวกับนก แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ ไม่ใช่ชื่อของนก เมื่อพ่อของเขาพาเขาไปเดินชมธรรมชาติในป่า พ่อของเขาจะถามว่า “ดูนกนั่นสิ นั่นคือนก 'brown-throated thrush' (ในภาษาอังกฤษ) ถ้าในภาษาเยอรมัน นกนี้มีชื่อเรียกว่า 'halsenflugel' ส่วนในภาษาจีน นกนี้จะชื่อว่า 'ชุง ลิง' แต่ถึงแม้ลูกอาจจะรู้ชื่อนกชนิดนี้ ในทุกภาษาบนโลกนี้ ลูกอาจจะยังคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนกตัวนี้เลย” พ่อของ Feynman กล่าวต่อว่า “ เรามารู้จักนกชนิดนี้กันน นกชนิดนี้ ร้องเพลงได้ ตัวแม่จะคอยสอนตัวลูกให้บิน และพวกมันจะบินระยะทางหลายร้อยไมล์ข้ามประเทศและบินกลับมายังรัง แต่ยังไม่มีใครรู้เลยว่า นกพวกนี้ จำทางบินกลับถิ่นฐานเดิมได้อย่างไร” Feynman ได้เล่าต่อว่า เขาจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับ “นก” และธรรมชาติต่างๆ ในป่าจากพ่อของเขา โดยไม่ได้จดจำว่า นกที่เขาเห็นหรือพืชที่เขาพบนั้นชื่ออะไร การถามคำถามว่า “นกนี้ชื่ออะไร” จึงไมเป็นคำถามที่นำไปสู่การสืบเสาะหาความรู้ หรือการสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ๆ

ตัวอย่างสุดท้าย ที่ผมประทับใจ เป็นเรื่องราวของของนักฟิสิกส์รางวัลโนเบล Isidor I. Rabi เขาเล่าไว้ว่า เขาเคยได้รับคำถามจากเพื่อนของเขาว่า ทำไม เขาถึงได้เลือกที่จะทำอาชีพเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำไมเขาไม่ไปเป็นหมอหรือทนาย หรือนักธุรกิจ เหมือนกับเด็กๆ ส่วนใหญ่แถวบ้าน Isidor I. Rabi ได้บอกเพื่อนเขาว่า “แม่ของผม สร้างให้ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ผมยังเด็กโดยที่แม่ไม่รู้ตัว” Rabi เล่าต่อไปว่าในสมัยที่เขายังเด็ก แม่ของเด็กเชื้อสายยิวในบริเวณชุมชนของบ้านของเขานั้นมักจะถามลูกๆ ของตัวเองที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนว่า “เป็นยังไง ที่โรงเรียนวันนี้ ลูกได้เรียนรู้อะไรบ้าง” แต่แม่ของ Rabi ไม่ได้ถามเขาด้วยคำถามแบบเดียวกันนั้น แม่ของ Rabi จะถามลูกๆ เมื่อกลับมาจากโรงเรียนว่า “วันนี้ ลูกได้ถามคำถามที่ดี บ้างหรือยัง” Rabi บอกว่า “นั่นคือความแตกต่าง การถามคำถามที่ดี ทำให้ผมอยากมีอาชีพเป็นนักวิทยาศาสตร์”

การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ของไทย ถ้าจะเน้น กระตุ้น หรือให้รางวัล กับนักเรียนที่ถามคำถามดีๆ (นอกจากการที่่่นักเรียนตอบคำถามได้ดีหรือถูกต้อง) อาจจะเป็นทางหนึ่งในการสร้างความเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียน น่าจะมีการส่งเสริมและสร้างนิสัยการเป็นคนช่างซักถามด้วยความสนใจใฝ่รู้ให้เกิดกับนักเรียนไทย สร้างบรรยากาศการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ในประเด็นต่างๆ ที่ได้เรียน ไม่เช่นนั้น ผมคงได้ประสบกับบรรยากาศเดิมในงานประชุมทางวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ เหมือนอย่างที่ประสบใน 10 ปีที่ผ่านมา

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คนไทยกับการเป็นคนช่างซักถามด้วยความสนใจใฝ่รู้

จากประสบการณ์กว่า 10 ปี ที่ได้อยู่ในวงการศึกษา ค้นคว้า วิจัยทางด้าน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการได้เคยเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หรือการเป็นนักวิชาการ ผมยังได้ประสบกับสถานการณ์เดิมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อได้เข้าไปฟังบรรยายหรือสัมมนาใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอโครงงานของนักเรียนระดับมัธยมปลาย การสัมมนาระดับปริญญาโทหรือเอก หรือการบรรยายผลงานการค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ระดับมืออาชีพ นั่นก็คือ เมื่อมีการบรรยายหรือการสัมมนาจบลง และผู้พูดเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถาม จะไม่มีนักเรียน นักศึกษาไทย คนใด ยกมือถามอย่างกระตือรือร้น

เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่ผมได้ประสบเรื่อยมา และล่าสุด ผมได้เข้าร่วมประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วทท.) ครั้งที่ 36 ซึ่งเป็นงานประชุมวิชาการระดับชาติที่จัดขึ้นทุกปี โดยในปีนี้ จัดขึ้นที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ซึ่งใกล้ที่ทำงานผม จึงทำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางเข้าไปฟังการบรรยายหลายหัวข้อที่ผมสนใจ หลังการบรรยายในแต่ละหัวข้อจบลง (ผมเข้าฟังประมาณ 5 หัวข้อบรรยาย) ผมได้ประสบกับสิ่งที่ผมได้พบตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ เมื่อผู้บรรยายเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถาม กลับไม่มีผู้ฟังคนใด ยกมือขึ้นถามเลย ทั้งที่ นี่เป็นงานนำเสนองานวิจัย ระดับชาติ แต่ผู้ฟังที่นั่งอยู่ค่อนห้อง กลับไม่มีใครมีประเด็นสงสัย หรือสนใจ อยากรู้จากเรื่องที่ได้บรรยายมากว่าครึ่งชั่วโมงเลย หรือเป็นวัฒนธรรมไทยไปแล้ว ว่าการไม่ถามนั้นเป็นสิ่งนิยมปฏิบัติ


โปสเตอร์งานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 36


แน่นอนว่า นักเรียนไทย ไม่ได้ถูกฝึกให้เป็นผู้ถาม เพราะว่าโรงเรียนไม่ได้ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจาก “คำถาม” แต่เป็น “คำตอบ” ที่ถูกต้องของนักเรียน นักเรียนจึงได้ถูกส่งเสริมและขัดเกราให้มีทัศนคติกับการพยายามมุ่งตอบด้วยคำตอบที่ถูกต้อง ห้องเรียนไม่ได้ส่งเสริมการเสี่ยงหรือส่งเสริมให้เกิดความผิดแผก แหวกแนว ด้วยเหตุนี้ นักเรียนคนที่ถามคำถามในชั้นเรียนหรือในห้องบรรยาย ด้วย คำถาม ที่อาจจะนอกกรอบ นอกแนวทางจึงดูเหมือนกับ เป็นการแสดงความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในเนื้อหา หรืออาจจะเกินไปเลยไปถึง การถูกหมั่นไส้จากเพื่อนๆ เพราะการทำตัวเด่น ผิดแผกจากผู้อื่น การถามคำถามจึงดูเหมือนส่งผลเชิงลบและลบกับผู้ถาม การไม่ถามและนั่งนิ่งๆ ในห้องเรียนหรือห้องบรรยาย จึงเป็นการเซฟตัวเอง ไม่เสี่ยงกับการถูกมองว่า ไม่เข้าใจ อ่อนศักยภาพ หรือการถูกหมั่นไส้จากเพื่อนๆ ในห้อง

หากแต่ว่า การเป็นผู้ไม่ถาม นั่งนิ่งๆ เฝ้าแต่จะตอบด้วยคำตอบที่ถูกต้องนั้น จะทำให้มีเพียงทักษะของ "การจำ" ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง ในขณะที่ ผู้ที่มุ่งถามด้วย คำถาม จากความสนใจใฝ่รู้ จะได้ฝึกการมีนิสัยเป็นคนช่างสังเกต ครุ่นคิด และพยายามสืบเสาะหาความรู้ด้วยตัวเอง (และอาจจะได้ความรู้หรือวิธีการใหม่ๆ ที่อาจจะไม่เคยมีใครคิดได้มาก่อน) เกิดความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิจารณ์ หรือบางที คำถามที่ดีมาก อาจจะนำไปสู่หัวข้อวิจัยที่ดีได้อีกด้วย

ภาพบรรยากาศในห้องบรรยายงาน วทท. 36 ที่ไบเทค บางนา (ที่มา: เว็บไซต์สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนแห่งชาติ)

ไม่เพียงแต่การเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ที่ต้องฝึกฝนการเป็นผู้ตั้งคำถามที่ดี โลกภายนอกห้องเรียนทุกวันนี้ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ไม่ใช่โลกที่ทักษะการค้นหาคำตอบที่ถูกต้อง เป็นทักษะที่เพียงพออีกแล้ว ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา คำตอบที่ถูกต้องในวันนี้ อาจจะล้าสมัยในวันรุ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น ในยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวล้ำ ข้อมูลต่างๆ สามารถถูกค้นพบเพียงสัมผัสที่ปลายนิ้วผ่านอุปกรณ์ต่างๆ อย่างคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ การค้นหาคำตอบหรือข้อมูลที่ผู้อื่นเป็นผู้ได้จัดทำไว้แล้ว เป็นทักษะที่ทวีความสำคัญน้อยลงไปทุกที การถามด้วย คำถาม ที่ดีและเหมาะสม การคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ ที่นำไปสู่การสร้างสรรค์จากทะเลของข้อมูลที่มีนั้น ยิ่งทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทางด้านการศึกษา พบว่า เมื่อนักเรียนได้รับการสนับสนุนให้ถามคำถามดีๆ ความสามารถที่จะเรียนรู้ จดจำและเข้าใจเนื้อหาในบทเรียนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Palinscar and Brown, 1984)

ผมหวังว่า การเรียนการสอนของโรงเรียนไทย จะเน้นการให้นักเรียน "ถาม" มากยิ่งขึ้น ครูน่าจะพยายามกระตุ้นและเปิดโอกาส ให้เวลา กับนักเรียนไทยในการถามคำถามมากกว่าเดิม พยายามบ่มเพาะนิสัยการเป็นคนชั่งซักถาม อยากรู้อยากเห็น ให้เกิดกับตัวของนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาวิทยาศาสตร์